
หลายท่านเห็นหัวเรื่องนี้แล้วอาจจะสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ? มันจะทำได้จริงเหรอ??? แต่จากประสบการณ์ของผู้เขียนขอยืนยันว่า เป็นไปได้ซึ่งผู้เขียนเองก็เคยทำสำเร็จมาแล้วและได้ประกอบอาชีพออกแบบ-ตัดเย็บเสื้อผ้ามาเป็นเวลาหลายปี จนกล่าวได้ว่า ”ส่งลูกเรียนจนจบปริญญา” ก็ว่าได้ครับ
จากการจุดประกายเล็กๆที่มันอาจจะเป็นความสนใจแบบซุกซนในวัยเด็กเมื่อเห็นคุณแม่เย็บผ้าด้วยจักรเย็บผ้าแบบใช้เท้าเหยียบของซิงเกอร์(รุ่นแรกๆที่มีขายในท้องตลาดในเวลานั้น) แอบดูด้วยความอยากรู้และแอบลองทำในเวลาต่อมาตอนอายุราว 8-9 ปี ก็ทำได้แค่เย็บให้ผ้าติดกันเป็นแนวก็นับว่าตื่นเต้นมากแล้ว และก็ทำได้แค่นั้นจริงๆ
ที่บ้านตอนเป็นเด็ก คุณแม่มีอาชีพเป็นครูสอนเด็กประถมต้น คุณพ่อรับราชการ เงินเดือนสองคนรวมกันไม่ถึงหนึ่งพันบาท(เมื่อกว่าหกสิบปีที่แล้ว) ต้องเลี้ยงดูลูกเล็กๆถึง 6 คนนับว่าหนักหนาสาหัสเอาการนะครับ(ถ้าเป็นในยุคนี้คงบ้านแตกไปนานแล้ว) ดังนั้นจึงต้องประหยัดกันอย่างสุดติ่งกระดิ่งแมวกันเลยแหละ คุณพ่อจึงอนุมัติให้คุณแม่ซื้อจักรเย็บผ้าไว้ใช้เองได้ เพื่อจะได้ช่วยลดค่าซื้อเสื้อผ้าไปได้อีกระดับหนึ่ง และต่อมาไม่นานเมื่อคุณแม่ไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าในเวลาว่างจบแล้ว(จำได้ว่าตอนนั้นบริษัทซิงเกอร์เขาสอนให้ฟรีด้วย) ทั้งบ้านก็ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่มาจากฝีมือตัดเย็บของคุณแม่กันถ้วนหน้า และนอกจากจะตัดเย็บเสื้อผ้าแล้วคุณแม่ยังมีความสามารถเย็บปักถักร้อย เช่น นิตติ้ง โครเชท์ อีกด้วย แต่สองอย่างหลังผู้เขียนมิบังอาจลองทำขอรับ อิอิ

สี่คนพี่น้อง(น้องอีกสองคนยังไม่มา)ผู้เขียนอยู่ขวามือสุดกับชุดผ้าสำลีและผ้าพันคอถักไหมพรมอันอบอุ่นของเช้าวันหนึ่งในหน้าหนาวจากฝีมือคุณแม่
เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นช่วงเรียนมัธยมต้น (ม.ศ.3)แฟชั่นมาแรงตอนนั้นเห็นจะไม่พ้นแนวกางเกงขายาวแบบลีบรัดรูปที่คนดังเขาสวมใส่กันและเรียกมันว่า “ทรงเดฟ” เพื่อนๆก็ชวนผู้เขียนไปหาซื้อมาใส่บ้าง เราเข้าไปเดินหาซื้อกันที่ตลาดในตัวเมืองจังหวัด(ผู้เขียนอยู่ต่างอำเภอ ที่สมัยนั้นเรียกว่า”บ้านนอก”นั่นแหละ) จำได้ว่ากางเกงยีนยืดรัดรูปซึ่งเป็นที่นิยมล่าสุดตอนนั้นคือยี่ห้อ “Hunter” เพื่อนหลายคนรูปร่างสูงขายาวใส่แล้วดูดี ส่วนผู้เขียนเป็นคนรูปร่างเล็ก ช่วงขาสั้นเลยใส่ดูแล้วไม่สวย คือหลวมและขายาวมาก แต่ด้วยความอยากมีเหมือนเพื่อนเลยเกิดปิ๊งไอเดียเมื่อนึกถึงจักรเย็บผ้าของคุณแม่ขึ้นมา จึงตัดใจควักเงินค่าขนมที่เก็บไว้จ่ายค่ากางเกงตัวนั้นไปราว 60 บาทซึ่งนับว่าไม่น้อยเลยในเวลานั้น แต่ก็เป็นเงินที่หามาได้จากการวิ่งขายหนังสือพิมพ์ตอนเช้าวันหวยออก และเดินสั่นกระดิ่งสะพายถังขายไอติมหลากสีในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์อยู่หลายเดือน ไม่ได้ขอจากทางบ้านแต่ประการใดครับ
จากการแก้ไขดัดแปลงทรงกางเกงตัวนั้นในวันต่อมาด้วยตนเอง ด้วยการเย็บตะเข็บข้างขาเข้าและตัดปลายขาที่ยาวออกจากการปรึกษาคุณแม่ แม้จะเย็บตะเข็บไม่ค่อยตรงนักตามประสามือใหม่แต่ก็ภูมิใจที่ได้ทำเองและใส่ไปอวดเพื่อนๆได้ นับจากวันนั้นผู้เขียนก็แก้ผ้า เอ๊ย แก้ไขเสื้อผ้าตามที่ต้องการ “ได้บ้าง”แล้ว 555 แต่ก็ ”ทำได้แค่นั้น” จริงๆ
จวบเวลาผ่านพ้นไปอีกหลายสิบปีผู้เขียนลาออกจากงานประจำที่เคยทำมาสิบกว่าปีแล้วผันชีวิตตัวเองมาเป็นพ่อค้าเต็มตัวด้วยการทำการค้าขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปในเมืองท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ด้วยสินค้าที่ซื้อสำเร็จรูปมามักมีคนนำมาขายตัดราคาเมื่อเห็นเราขายดี ผู้เขียนจึงเกิดแนวคิดใหม่นั่นคือ “ทำเองจะได้ไม่เหมือนใคร” ขึ้นมา ถึงแม้จะทำจำนวนน้อยแต่ก็น่าจะมีกำไรคุ้มกว่าซื้อมาขายไป แล้วงานออกแบบ-ตัดเย็บล่ะทำไง? “ก็ต้องหัดทำสิวะ” ผู้เขียนบอกตนเองแบบนี้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการ ”ตัดเย็บเสื้อผ้า เรียนเองก็ได้ไม่ยากเลย” นี่แหละครับ
ผู้เขียนเริ่มหาตำราที่สอนเกี่ยวกับเรื่องการตัดเย็บเสื้อผ้าตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน คือสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องการตัดเย็บมาก่อน รวมถึงตำราที่สอนการสร้างแบบแพทเทิร์นแล้ววางบนผ้าเพื่อตัด ก็ไปได้ตำราเริ่มต้นมาสองเล่มด้วยกัน ซึ่งเมื่อลองอ่านดูแล้วก็เข้าใจและคิดว่าไม่ยากอย่างที่คิดเพราะมีรูปภาพประกอบคำอธิบายเป็นขั้นตอนชัดเจนทำให้เข้าใจง่าย ชื่อหนังสือ “เรียนตัดเย็บเสื้อผ้าขั้นพื้นฐาน” และผู้เขียนก็เริ่มลองหัดเย็บชิ้นงานง่ายๆได้ก็จากตำราเล่มนี้เอง

หนังสือ “เรียนตัดเย็บเสื้อผ้าขั้นพื้นฐาน” โดย สุจิตรา แก้วดี

ด้านในมีรูปภาพประกอบคำอธิบายขั้นตอนการเย็บอย่างชัดเจน
ขั้นต่อไปคือ “ลงมือทำ” ในที่นี้ยังไม่ได้หมายถึงทำขายเลยนะครับ แค่ลองทำใส่เอง คือทำให้ตัวเองลองใส่ดูก่อนด้วยแบบง่ายๆซึ่งก็ไม่พ้นเสื้อคอกลม-เสื้อกล้ามด้วยการตัดเย็บจากผ้าฝ้ายซึ่งจะตัดเย็บง่ายเพราะผ้าไม่ลื่นเหมือนผ้าใยสังเคราะห์ จึงอยากแนะนำผู้หัดใหม่ให้ใช้ผ้าฝ้ายในการเริ่มต้นงานตัดเย็บนะครับ พอทำแล้วก็ เออ..มันก็ใช้ได้นะแม้จะไม่เนี้ยบเหมือนมืออาชีพ “ต้องลองทำบ่อยๆให้เกิดความชำนาญ” ประโยคนี้สำคัญมากครับ เริ่มแรกต้อง “มีใจ”ให้กับงานและ “ตั้งใจ” กับงานที่ทำ ซึ่งต่อมาผู้เขียนก็ตัดเย็บให้ภรรยาลองสวมใส่ด้วยแบบง่ายๆก็เป็นผลสำเร็จ แม้จะมีเสียไปบ้างแต่ไม่ลองก็ไม่รู้ใช่มั้ยครับ

จักรเย็บผ้า "ซิงเกอร์" อุปกรณ์ช่วยเย็บผ้าที่ทำเป็นอาชีพตัวแรก ปัจจุบันถูกขายไปแล้วครับ

จักรเย็บผ้า Janome เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีฝีเข็มเย็บซิกแซกได้ดี มีคนซือไปใช้งานต่อแล้วครับ
สินค้าที่ผู้เขียนลองทำเพื่อขายให้ลูกค้าชิ้นแรกก็คือ “หมวกแก๊ปผ้าฝ้าย” ด้วยการนำสินค้าที่ซื้อสำเร็จรูปมาเลาะออกแล้ววางแบบก็อปปี้ไปเลย วิธีเย็บก็ดูจากที่เลาะออกมานั่นแหละครับ มันใช้ได้เลย ที่สำคัญมันขายได้แม้ราคาค่างวดมันไม่ได้มากมายอะไรแต่ก็นับว่าประสบผลสำเร็จในขั้นเริ่มต้นเพื่อที่จะก้าวสู่ขั้นตอนต่อไปครับ และก็ด้วยวิธีนี้ผู้เขียนก็ได้เรียนรู้วิธีการก็อปปี้แบบ เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุมาเป็นผ้าที่เราถนัดรวมถึงดัดแปลงแบบและสีสันบ้างเล็กน้อย แม้เสื้อสูทผู้เขียนก็เคยนำมาเลาะออกเพื่อดูวิธีการเย็บมาแล้วครับซึ่งก็นับว่าคุ้มมากๆในการเรียนรู้จากของจริงแบบนี้
นับว่าแปลกอย่างหนึ่งนะครับที่ผู้เขียนสนใจอยากทำเสื้อผ้าผู้หญิง เพราะมองว่าผู้หญิงมักชอบแต่งตัวมากกว่าผู้ชายทำให้แบบเสื้อผ้ามีหลากหลายเรียกได้ว่า ไม่รู้จบ และกลุ่มลูกค้ากว้างกว่าผู้ชายมาก ผู้เขียนจึงตัดสินใจลองตัดเย็บเสื้อผ้าผู้หญิงตามตำราเล่มนี้ครับ “ตำราตัดเสื้อสตรี” โดยอาจารย์พยุง วงศ์ศศิธร ซึ่งนับว่าเป็นตำราที่ดีอีกเล่มหนึ่งสำหรับผู้เขียนในขณะนั้น เพราะในเล่มได้บอกวิธีการเริ่ม วัดตัว สร้างแบบ(แพทเทิร์น) แล้วนำไปวางบนผ้าเพื่อตัดก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการเย็บต่อไป อยากกล่าวถึงเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ แบบตัดหรือแพทเทิร์นที่เขาทำขายสำเร็จรูปก็มีนะครับ ผู้เขียนเคยลองหาซื้อมาตัดก็หลายชิ้นและบางชิ้นเสร็จแล้วก็ออกมาดูดี บางชิ้นก็ดูผิดรูปทรงอันน่าจะมาจากการออกแบบสร้างแบบที่ไม่ถูกต้อง หรือบางทีก็มีปัญหาเรื่องไซ้ส์หรือขนาด ผู้เขียนเลยเสียของเสียเวลาและหมดไปหลายตังค์กับแบบพวกนี้ ตอนหลังเลยเก็บชั่งกิโลหมดเลย หุหุหุ จึงได้บทเรียน(อีกแล้ว)ว่า “ทำเองดีที่สุด” ครับ

หนังสือ “ตำราตัดเสื้อสตรี” โดยอาจารย์พยุง วงศ์ศศิธร

ด้านในมีรูปภาพประกอบคำอธิบายขั้นตอนการเย็บอย่างชัดเจน
งานตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นงานที่นับได้ว่าค่อนข้างละเอียดและต้องการความประณีตเป็นอย่างมาก แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ “ความพอดี”กับรูปร่างของผู้สวมใส่ จากประสบการณ์ตัดเย็บเสื้อผ้าของผู้เขียนมาหลายปีทำให้รู้ว่า “ความพอดี” นั้นสำคัญกว่าความประณีตจริงๆและเรื่องนี้ผู้เขียนเคยทำพลาดมาแล้วจากการจดขนาดที่วัดตัวผิด ตัดเย็บออกมาสวยสมดังใจแต่กลับมาตกม้าตายตอนลูกค้ามาลองนี่สิ มันเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรเพราะต้องเสียทั้งของ เสียเวลา ที่สำคัญเสียความมั่นใจจากลูกค้าที่เคยมี... “ผิดเป็นครู” ครับ แต่ครูแบบนี้อย่าให้มาบ่อยนะครับไม่ดีแน่..T_T
จากการตัดเย็บขายแบบสำเร็จรูป ทั้งเสื้อ กระโปรง กางเกง ที่พอไปได้ แต่ที่ผ่านมาการทำแขนเสื้อให้สวยมักมีปัญหาเพราะในตำราเล่มก่อนๆบอกแต่วิธีขั้นพื้นฐานซึ่งความต้องการของลูกค้ามีมากกว่านั้น ผู้เขียนจึงเริ่มศึกษาและหาข้อมูลจากตำราเล่มต่อไปที่เน้นการตัดเย็บแขนเสื้อโดยเฉพาะ ก็มาเจอเอาตำราอีกเล่มหนึ่งที่น่าสนใจมากเพราะสอนแต่เรื่องทำแขนเสื้ออย่างเดียว งานนี้เข้าเป้าเลยครับ คือหนังสือ “ตำราเรียนตัดเสื้อสตรี ชุดนพเก้า เล่มที่5 เรื่องแขนเสื้อ” เรียบเรียงโดย อาจารย์เจียรพรรณ โสภโณ เจ้าของโรงเรียนสอนตัดเย็บเสื้อสตรี เจียรพรรณ นั่นเอง

หนังสือ “ตำราเรียนตัดเสื้อสตรี ชุดนพเก้า เล่มที่5 เรื่องแขนเสื้อ” เรียบเรียงโดย อาจารย์เจียรพรรณ โสภโณ เจ้าของโรงเรียนสอนตัดเย็บเสื้อสตรี เจียรพรรณ

อาจารย์เจียรพรรณ โสภโณ เจ้าของโรงเรียนสอนตัดเย็บเสื้อสตรี เจียรพรรณ

บางส่วนของรูปภาพประกอบภายในเล่ม

บางส่วนของรูปภาพประกอบภายในเล่ม
ในตำราเล่มนี้มีแบบแขนเสื้อแปลกๆเยอะมากครับรวมกว่า 100 แบบซึ่งนับว่ามีประโยชน์มากจริงๆสำหรับ”ช่างตัดเย็บนอกทำเนียบ”อย่างผู้เขียน และผลพวงจากตำราเล่มนี้ก็นับว่าเป็นแรงบันดาลใจหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนเริ่มรับงานตัดเย็บเสื้อผ้าให้กับลูกค้าที่ต้องการในเวลาต่อมา
แบบเสื้อผ้าตามแนวแฟชั่นที่นิยมกันตามสมัยก็นับว่าสำคัญไม่น้อย ผู้เขียนจึงต้องขยันเดินหาดูแบบแฟชั่นใหม่ๆตามร้านดังในห้างสรรพสินค้าบ้าง จากหนังสือแฟชั่นบ้าง ช่วงนั้นผู้เขียนจึงลงทุนหาซื้อหนังสือแฟชั่นใหม่ๆบ่อยมากรวมๆที่ผ่านมาก็น่าจะมากกว่า 3-4 ร้อยเล่มแล้ว ทั้งหนังสือเล่มละ 70-80 บาท ไปจนถึงเล่มละหลายร้อยบาท เพราะคิดว่าในเล่มหนึ่งมีแบบที่ต้องการแค่แบบเดียวก็นับว่าคุ้มแล้วครับ ปัจจุบันหนังสือดังกล่าวได้ถูกนำไปจำหน่าย จ่ายแจกไปแล้วเกือบหมด เหลืออยู่เพียงไม่กี่เล่มเท่านั้นเอง

หนังสือตำราอีกเล่มหนึ่งที่มีแบบแนวแฟชั่นที่ทันสมัยนิยมพร้อมการสร้างแบบตัด

คำราเรียนแฟชั่นดีไซน์

คำราเรียนแฟชั่นดีไซน์
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้นจริงๆ เวลาต่อมาผู้เขียนตัดสินใจไปเรียนรู้การออกแบบดีไซน์เพิ่มเติม ทั้งนี้เพื่อเป็นการเติมเต็มให้กับธุรกิจเล็กๆที่ทำอยู่ และเพื่อตอบสนองลูกค้าได้มากขึ้นด้วยงานออกแบบเสื้อผ้าตามแนวคิดและถนัดของตัวเอง ซี่งผู้เขียนก็ค้นพบตัวเองในวัยสี่สิบกว่าๆว่าที่จริงแล้วตัวเองถนัดในสิ่งใดที่สุด!

บางส่วนชุดที่ออกแบบตัดเย็บจากผ้าไหมแพรวาของลูกค้า

บางส่วนชุดที่ออกแบบตัดเย็บจากผ้าไหมของลูกค้า
ปัจจุบันแม้ผู้เขียนจะเลิกทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นอาชีพไปแล้ว เพราะด้วยวัยและสายตาที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวย แต่ก็ยังทำเสื้อผ้าใช้เองบ้าง หรือทำผ้าแต่งบ้านเช่นผ้าหุ้มเบาะ-หมอน ผ้าม่านบ้าง เป็นต้น และเมื่อลองมาหวนมองย้อนกลับไปในอดีต ที่เริ่มจากการไม่รู้อะไรเลยในบางสิ่ง แต่เมื่อได้ลองเรียนรู้ ได้ลงมือทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจริงๆ บวกกับทักษะอีกนิดหน่อยก็สามารถทำได้สำเร็จในเวลาต่อมา... บทความนี้อาจเป็นกำลังใจให้กับใครบางคนที่กำลังคิดอยากทำอะไรบางอย่างแต่ยังมีความท้อแท้ ไม่มีความมั่นใจว่าจะทำได้รึเปล่า? ขอให้เชื่อไว้อย่างหนึ่งครับว่า “ความตั้งใจจริงและความอดทน”เท่านั้นที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ เหมือนเช่นหัวข้อเรื่องนี้..
“ตัดเย็บเสื้อผ้า เรียนเองก็ได้ไม่ยากเลย” จริงๆครับ
Admin. 16/6/2559
ทริคเล็กๆกับการแก้ไขดัดแปลงและตกแต่งเสื้อผ้าครับ
คลิกที่นี่